ทุกวันนี้ไม่ว่าธุรกิจไหนก็พูดถึง AI และหัวใจที่สำคัญของการนำ AI คือ ความเชื่อมั่น ที่ธนาคารส่งมอบให้กับลูกค้า เพื่อให้พวกเขาวางใจที่จะฝากสิ่งสำคัญไว้กับสถาบันการเงิน
การทำ Double Core Banking หรือ Horizontal Core Banking Scale Project ของธนาคารกสิกรไทย (KBank) กับ บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ไม่ได้เป็นเพียงการขยายขีดความสามารถเชิงเทคนิค แต่ยังเป็นการตอกย้ำสร้างความเชื่อมั่นให้แข็งแกร่งกว่าเดิม เพื่อรองรับการเติบโตที่ก้าวกระโดด และสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ทั้งรวดเร็วและน่าเชื่อถือ
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1149-7b1921b0182c4b98b5b563c33f9a36dc.jpg?hash=4ZDsJgBo2l)
Blognone จะพาผู้อ่านไปดูเบื้องหลังการทำ Double Core Banking ของ KBank ภายใต้ชื่อ Core Banking Horizontal Scale Project ที่เปรียบเสมือนการผ่าตัดหัวใจครั้งใหญ่ ว่าทำไม KBank จึงต้องเพิ่มระบบหลักธนาคารเป็น 2 ตัว พร้อมพาไปดูวิธีที่ KBTG จัดการงานโปรเจกต์ขนาดยักษ์ ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) จนกระทั่งประสบความสำเร็จโดยไม่มี Downtime เกิดขึ้น
Double Core Banking เป็นการยกระดับขีดความสามารถของ “ระบบหลักธนาคาร” (Core Banking System) ให้รองรับปริมาณกิจกรรม ธุรกรรม และบัญชีผู้ใช้ ในภาพรวมของธนาคารทั้งระบบได้มากขึ้น โดยทั่วไปเราเรียกแนวทางนี้ว่า Horizontal Scale ซึ่งหมายถึงการกระจายงานไปยังระบบหลักที่อยู่ในระนาบเดียวกัน แทนที่จะพึ่งพาโครงสร้างศูนย์กลางเพียงจุดเดียว และตรงข้ามกับ Vertical Scale ที่เป็นการอัปเกรดทรัพยากรเช่นซีพียูของเครื่อง
การขยายระบบหลักเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกรรมดิจิทัล จะช่วยตอบสนองผู้ใช้ที่คาดหวังความรวดเร็วและการเข้าถึงบริการได้ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง การกระจายภาระผ่านหลายระบบย่อยช่วยลดความเสี่ยงจากการล่มเพียงจุดเดียว (Single Point of Failure) นอกจากนี้ ยังลดเวลาหรือโอกาสเกิดการหยุดทำงานของระบบ (Downtime) เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความพึงพอใจและความต่อเนื่องในการให้บริการทางการเงิน
การปรับโครงสร้างในลักษณะนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่น ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทอย่างสูง เพราะปริมาณข้อมูลและธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยระบบหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น ทั้งในแง่ความเร็วและความถูกต้อง นอกจากนี้ การวางรากฐานระบบให้ขยายตัวได้ง่ายยังเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินพัฒนาบริการนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้คล่องตัวยิ่งขึ้น รองรับการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น
คุณวรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman ของ KBTG เล่าว่า เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาบรรจบกับผู้บริโภค ยอดธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลก็ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับ KBank จะเห็นชัดได้ผ่านแอป K PLUS ที่มียอดผู้ใช้งานทะลุ 23 ล้านราย และปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 5.4 เท่า จากปี 2019 เป็น 11.6 พันล้านรายการ
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1150-f9f245de0ab77484f484c4c9de0247cb.jpg?hash=B5f5PAONjj)
นอกจากนั้นยังมีแอป MAKE by KBank ที่ล่าสุดมีผู้ใช้ 2.95 ล้านราย และสร้าง Cloud Pockets กว่า 8.7 ล้านกระเป๋า
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ระบบหลังบ้าน (Core Banking) ต้องทำงานหนักและต้องพร้อมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสาเหตุที่ต้องยกระดับครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่พุ่งสูงและรองรับการนำ AI ในธุรกิจอีกมากในอนาคต
“KBTG เริ่มต้นก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่หลายครั้งในช่วงเวลาที่โลกเผชิญความเปลี่ยนแปลง” คุณวรนุชเล่า โดยในช่วง KBTG 1.0 หรือช่วงปี 2016 – 2018 ทาง KBTG ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานที่มั่นคงในฐานะธนาคาร ตั้งแต่การปรับปรุงระบบเงินฝาก สินเชื่อ ตลอดจนแอปพลิเคชัน K PLUS เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับอนาคต
จากนั้น KBTG ได้พัฒนาเข้าสู่ยุค KBTG 2.0 ในปี 2019 – 2023 ซึ่งให้ความสำคัญกับการปรับตัวท่ามกลางกระแสเปลี่ยนแปลงระดับโลก การปรับปรุงสถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน การขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาค (เช่น จีน และ เวียดนาม) และการทำ M.A.D. Transformation โดยในช่วง KBTG 2.0 นี้ ยังสามารถลดการใช้เวลารวมกว่า 60,000 man-hours ทำงานได้เร็วขึ้น 2.25 เท่า สร้าง ROI ได้ถึง 198% และทำให้มากกว่า 90% ของทีมงานมีความสุขในการทำงาน
ก้าวต่อไปในปี 2024 คือยุค KBTG 3.0 ภายใต้แนวคิด Human-First x AI-First Transformation ที่ให้ความสำคัญทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และมุมมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยการทำ Double Core Banking ก็มีขึ้นเพื่อตอบรับการเติบโตทางการเงินและความต้องการของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไปในอนาคตในยุคที่ AI ถูกปรับใช้ในทุกแง่มุมของธุรกิจ
คุณวรนุชบอกว่า การเพิ่มระบบ Core Banking เข้ามาอีกหนึ่งตัวทำให้ KBank สามารถรองรับธุรกรรมเพิ่มขึ้น เรื่องนี้เป็นความสำเร็จที่ดูยิ่งใหญ่ก็จริง แต่เบื้องล่างของยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งความสำเร็จนี้ก็ควรค่าให้พูดถึง เพราะลึกลงไปแล้วเรื่องราวนี้เต็มไปด้วยความทุ่มเทจากชั่วโมงทำงานนับไม่ถ้วน จากบุคลากรหลากหลายแผนก การทดสอบระบบครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงเวลาเกือบ 2 ปี ซึ่งวันนี้ทำสำเร็จแล้ว
คุณจรุง เกียรติสุภาพงศ์ Vice Chairman ของ KBTG เปรียบเปรยว่าการทำ Double Core Banking เป็นเหมือนการผ่าตัดเพิ่มหัวใจเข้าไปในร่างกายอีกดวง แต่ไม่ใช่ใส่ลงไปแล้วจบ เพราะต้องเชื่อมต่อเส้นเลือดที่ร้อยเรียงกับระบบทั้งหมดกว่า 183 ระบบรายรอบโดยที่ไม่กระทบถึงผู้บริโภคเลย
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1151-883d5804fa2df4ec90a9e75f5629bf6f.jpg?hash=fpvX-m2vG9)
หมุดหมายสำคัญของโครงการนี้คือการรองรับการเติบโตของธนาคารในทุก ๆ แง่มุมไล่ไปตั้งแต่การฝากเงินไปจนถึงระบบสินเชื่อไปจนถึงปี 2031 เป็นอย่างน้อย ผ่านเม็ดเงินลงทุนกว่า 4,500 ล้านบาท เพื่อให้ระบบธนาคารหลักสามารถรองรับธุรกรรมต่าง ๆ เพิ่มได้ถึง 50%
คุณนพวรรณ ปฏิภาณจํารัส Managing Director ของ KBTG เล่าถึงความท้าทายของการบริหารโครงการ Double Core Banking ว่า การเพิ่ม Core Banking เป็นหนึ่งในโครงการไอทีที่ใหญ่ที่สุดของ KBTG และสิ่งที่กดดันที่สุดคือทำให้ระบบใหม่ออนไลน์ได้โดย ไม่มี Downtime
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1152-2a38d0a77325611eb9f5c6d32270a746.jpg?hash=GRtQ9MtKko)
โครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องทำงานรวมกันหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธุรกิจ ฝั่งไอที ฝั่ง Infrastructure หรือกระทั่งพันธมิตรจากภายนอก ดังนั้น หนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ในฐานะทีมเดียวกันที่มีเป้าหมายหนึ่งเดียวร่วมกัน ต้องมีการวางแผนการเปลี่ยนแปลง การซักซ้อม และการทดสอบร่วมกันกันนับครั้งไม่ถ้วน
“สิ่งสำคัญของการทำโครงการใหญ่ระดับนี้คือการเตรียมรับปัญหาที่อาจเกิด” คุณแก้วกานต์ ปิ่นจินดา เสริม โดย 2 เรื่องที่ KBTG ต้องเตรียมพร้อมคือการจัดการปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น (Incident & Problem Management) และการจัดการความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น (Change Management)
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1153-c3d08e70bc879957890525448ae361eb.jpg?hash=LJH9ZqlTOc)
คุณแก้วกานต์ ปิ่นจินดา Deputy Managing Director – IT Service Availability ของ KBTG เล่าถึงในส่วนของ Incident & Problem Management จะเริ่มต้นจากการเปลี่ยนเหตุการณ์ (Incident) เป็นแผนการบริหารปัญหา (Problem Management) ที่มีความเป็นระบบ ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาระหว่างการปรับขยายระบบ และเน้นแนวทางการจัดการปัญหาเชิงรุก เมื่อเกิดเหตุขัดข้องจะแก้ไขอย่างรวดเร็ว ลด Downtime และผลกระทบต่อระบบโดยรวม
สำหรับ Change Management ซึ่งหมายถึงการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในองค์กร จะมีการกำหนด Project Plan and Freeze Schedule เพื่อให้ทีมสามารถประสานงานและแจ้งช่วงเวลาที่ต้อง Freeze หรือหยุดการเปลี่ยนแปลงกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนงานนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน โดยปรับปรุงตาราง Freeze อย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนกว่าจะจบโครงการ
ขณะเดียวกันก็ปรับใช้ ITSM Tool Modification เพื่อส่งแจ้งเตือนกรณีมีการเปิด Change Request (CR) ในระบบที่อยู่ในขอบเขต Freeze ซึ่งช่วยให้ทีม Change ติดต่อผู้เปิดคำขอได้ทันที เพื่อเลื่อนหรือจัดตารางไม่ให้ชนกับช่วง Freeze
กระบวนการทั้งหมดนี้มุ่งให้สามารถรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ (Prepare for the Worst) และเดินหน้าทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (Work for the Best) โดยการบริหารปัญหาอย่างเป็นระบบและการบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างมีวินัยจะช่วยลดความเสี่ยงของ Downtime สร้างความต่อเนื่องของบริการ
คุณภูวดล ทรงวุฒิชโลธร Assistant Managing Director - Project Management ของ KBTG แชร์ประสบการณ์การบริหารโครงการให้ฟังว่า ทาง KBTG ใช้กลยุทธ์ 3Cs คือ Communication, Collaboration และ Commitment ในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เวลากว่า 22 เดือน กับทีมงานเกิน 1,000 ชีวิต ซึ่งในท้ายที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการผลักดันโครงการให้ออกมาได้ โดยไม่มีช่วงเวลาที่ระบบหยุดทำงานและไม่มีการรายงานเหตุจากลูกค้าเลย
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1154-548dbd12d5f8e44b34f7009190e94540.jpg?hash=czf70DnwVE)
“ในส่วนของ Communication” คุณภูวดลลงรายละเอียด โครงการต้องประสานงานคนมากกว่า 1,000 คน จัดประชุมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์กว่า 2,000 ครั้ง และเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซจาก 183 แอปพลิเคชัน รวมแล้วมีกว่า 2,000 จุดที่ได้รับผลกระทบ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้โดยไม่สะดุดก็ต้องมีการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันและมีความเชื่อมั่นในแผนงานร่วมกัน
ในด้าน Collaboration โปรเจกต์นี้ขยายขอบเขตไปร่วมงานกับแผนกกว่า 50 แผนก ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารที่ไร้รอยต่อเพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดงานออกมาเป็นรูปธรรมจริง ๆ
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่สำคัญของการทำโปรเจกต์นี้คือการสร้าง Commitment หรือการมีความมุ่งมั่นร่วมกัน เพราะงานนี้ ต้องเข้าไปแก้ไขจุดบกพร่องกว่า 1,000 จุด ให้เรียบร้อยทันเวลา กินเวลากว่า 10,000 man-nights และใช้เวลามากกว่า 10 เดือนในการทดสอบระบบ ซึ่งมี test cases มากกว่า 30,000 test กรณีตัวอย่าง เพื่อสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือขึ้นมา
คุณเรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman ของ KBTG สรุปปิดท้ายว่าถ้าเป็นเรื่องของ AI หัวใจสำคัญจริง ๆ เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เพราะหลาย ๆ งานเราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเครื่องไม่ใช่คน จึงต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่าระบบที่ใช้มีความน่าเชื่อถือจริง ๆ
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1155-c9f8b568f258b3960f6d3e906b5356ef.jpg?hash=omrv3j0crX)
และยิ่งธนาคารทำเรื่อง AI ความเชื่อมั่นยิ่งต้องมีมากยกกำลังสอง คุณเรืองโรจน์ย้ำ เพราะเราต้องดูแลเรื่องสำคัญให้กับลูกค้าค่อนประเทศ สอดคล้องกับทิศทางของ KBTG 3.0 ที่จะพัฒนา AI ภายใต้แนวทาง Human-First x AI-First คือใช้ปัญญาประดิษฐ์โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนการทำ Double Core Banking อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่จะช่วยให้ KBank รองรับธุรกรรมได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น โดยมาพร้อมความมั่นคงของระบบและความน่าเชื่อถือ
Topics:
KBTG
Banking
AI
KBank
Continue reading...
การทำ Double Core Banking หรือ Horizontal Core Banking Scale Project ของธนาคารกสิกรไทย (KBank) กับ บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ไม่ได้เป็นเพียงการขยายขีดความสามารถเชิงเทคนิค แต่ยังเป็นการตอกย้ำสร้างความเชื่อมั่นให้แข็งแกร่งกว่าเดิม เพื่อรองรับการเติบโตที่ก้าวกระโดด และสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ทั้งรวดเร็วและน่าเชื่อถือ
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1149-7b1921b0182c4b98b5b563c33f9a36dc.jpg?hash=4ZDsJgBo2l)
Blognone จะพาผู้อ่านไปดูเบื้องหลังการทำ Double Core Banking ของ KBank ภายใต้ชื่อ Core Banking Horizontal Scale Project ที่เปรียบเสมือนการผ่าตัดหัวใจครั้งใหญ่ ว่าทำไม KBank จึงต้องเพิ่มระบบหลักธนาคารเป็น 2 ตัว พร้อมพาไปดูวิธีที่ KBTG จัดการงานโปรเจกต์ขนาดยักษ์ ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) จนกระทั่งประสบความสำเร็จโดยไม่มี Downtime เกิดขึ้น
Double Core Banking คืออะไร?
Double Core Banking เป็นการยกระดับขีดความสามารถของ “ระบบหลักธนาคาร” (Core Banking System) ให้รองรับปริมาณกิจกรรม ธุรกรรม และบัญชีผู้ใช้ ในภาพรวมของธนาคารทั้งระบบได้มากขึ้น โดยทั่วไปเราเรียกแนวทางนี้ว่า Horizontal Scale ซึ่งหมายถึงการกระจายงานไปยังระบบหลักที่อยู่ในระนาบเดียวกัน แทนที่จะพึ่งพาโครงสร้างศูนย์กลางเพียงจุดเดียว และตรงข้ามกับ Vertical Scale ที่เป็นการอัปเกรดทรัพยากรเช่นซีพียูของเครื่อง
การขยายระบบหลักเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกรรมดิจิทัล จะช่วยตอบสนองผู้ใช้ที่คาดหวังความรวดเร็วและการเข้าถึงบริการได้ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง การกระจายภาระผ่านหลายระบบย่อยช่วยลดความเสี่ยงจากการล่มเพียงจุดเดียว (Single Point of Failure) นอกจากนี้ ยังลดเวลาหรือโอกาสเกิดการหยุดทำงานของระบบ (Downtime) เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความพึงพอใจและความต่อเนื่องในการให้บริการทางการเงิน
การปรับโครงสร้างในลักษณะนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่น ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทอย่างสูง เพราะปริมาณข้อมูลและธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยระบบหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น ทั้งในแง่ความเร็วและความถูกต้อง นอกจากนี้ การวางรากฐานระบบให้ขยายตัวได้ง่ายยังเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินพัฒนาบริการนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้คล่องตัวยิ่งขึ้น รองรับการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น
ยิ่งมีผู้ใช้งานมาก ความเชื่อมั่นต้องมากยิ่งกว่า
คุณวรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman ของ KBTG เล่าว่า เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาบรรจบกับผู้บริโภค ยอดธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลก็ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับ KBank จะเห็นชัดได้ผ่านแอป K PLUS ที่มียอดผู้ใช้งานทะลุ 23 ล้านราย และปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นถึง 5.4 เท่า จากปี 2019 เป็น 11.6 พันล้านรายการ
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1150-f9f245de0ab77484f484c4c9de0247cb.jpg?hash=B5f5PAONjj)
นอกจากนั้นยังมีแอป MAKE by KBank ที่ล่าสุดมีผู้ใช้ 2.95 ล้านราย และสร้าง Cloud Pockets กว่า 8.7 ล้านกระเป๋า
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ระบบหลังบ้าน (Core Banking) ต้องทำงานหนักและต้องพร้อมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นสาเหตุที่ต้องยกระดับครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่พุ่งสูงและรองรับการนำ AI ในธุรกิจอีกมากในอนาคต
กว่าจะมาถึง Double Core Banking: ย้อนเส้นการพัฒนาของ KBTG
“KBTG เริ่มต้นก่อตั้งขึ้นในปี 2016 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่หลายครั้งในช่วงเวลาที่โลกเผชิญความเปลี่ยนแปลง” คุณวรนุชเล่า โดยในช่วง KBTG 1.0 หรือช่วงปี 2016 – 2018 ทาง KBTG ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานที่มั่นคงในฐานะธนาคาร ตั้งแต่การปรับปรุงระบบเงินฝาก สินเชื่อ ตลอดจนแอปพลิเคชัน K PLUS เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับอนาคต
จากนั้น KBTG ได้พัฒนาเข้าสู่ยุค KBTG 2.0 ในปี 2019 – 2023 ซึ่งให้ความสำคัญกับการปรับตัวท่ามกลางกระแสเปลี่ยนแปลงระดับโลก การปรับปรุงสถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน การขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาค (เช่น จีน และ เวียดนาม) และการทำ M.A.D. Transformation โดยในช่วง KBTG 2.0 นี้ ยังสามารถลดการใช้เวลารวมกว่า 60,000 man-hours ทำงานได้เร็วขึ้น 2.25 เท่า สร้าง ROI ได้ถึง 198% และทำให้มากกว่า 90% ของทีมงานมีความสุขในการทำงาน
ก้าวต่อไปในปี 2024 คือยุค KBTG 3.0 ภายใต้แนวคิด Human-First x AI-First Transformation ที่ให้ความสำคัญทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และมุมมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยการทำ Double Core Banking ก็มีขึ้นเพื่อตอบรับการเติบโตทางการเงินและความต้องการของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไปในอนาคตในยุคที่ AI ถูกปรับใช้ในทุกแง่มุมของธุรกิจ
คุณวรนุชบอกว่า การเพิ่มระบบ Core Banking เข้ามาอีกหนึ่งตัวทำให้ KBank สามารถรองรับธุรกรรมเพิ่มขึ้น เรื่องนี้เป็นความสำเร็จที่ดูยิ่งใหญ่ก็จริง แต่เบื้องล่างของยอดภูเขาน้ำแข็งแห่งความสำเร็จนี้ก็ควรค่าให้พูดถึง เพราะลึกลงไปแล้วเรื่องราวนี้เต็มไปด้วยความทุ่มเทจากชั่วโมงทำงานนับไม่ถ้วน จากบุคลากรหลากหลายแผนก การทดสอบระบบครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงเวลาเกือบ 2 ปี ซึ่งวันนี้ทำสำเร็จแล้ว
คุณจรุง เกียรติสุภาพงศ์ Vice Chairman ของ KBTG เปรียบเปรยว่าการทำ Double Core Banking เป็นเหมือนการผ่าตัดเพิ่มหัวใจเข้าไปในร่างกายอีกดวง แต่ไม่ใช่ใส่ลงไปแล้วจบ เพราะต้องเชื่อมต่อเส้นเลือดที่ร้อยเรียงกับระบบทั้งหมดกว่า 183 ระบบรายรอบโดยที่ไม่กระทบถึงผู้บริโภคเลย
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1151-883d5804fa2df4ec90a9e75f5629bf6f.jpg?hash=fpvX-m2vG9)
หมุดหมายสำคัญของโครงการนี้คือการรองรับการเติบโตของธนาคารในทุก ๆ แง่มุมไล่ไปตั้งแต่การฝากเงินไปจนถึงระบบสินเชื่อไปจนถึงปี 2031 เป็นอย่างน้อย ผ่านเม็ดเงินลงทุนกว่า 4,500 ล้านบาท เพื่อให้ระบบธนาคารหลักสามารถรองรับธุรกรรมต่าง ๆ เพิ่มได้ถึง 50%
หนึ่งในโปรเจกต์ IT ที่ใหญ่ที่สุดของ KBTG
คุณนพวรรณ ปฏิภาณจํารัส Managing Director ของ KBTG เล่าถึงความท้าทายของการบริหารโครงการ Double Core Banking ว่า การเพิ่ม Core Banking เป็นหนึ่งในโครงการไอทีที่ใหญ่ที่สุดของ KBTG และสิ่งที่กดดันที่สุดคือทำให้ระบบใหม่ออนไลน์ได้โดย ไม่มี Downtime
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1152-2a38d0a77325611eb9f5c6d32270a746.jpg?hash=GRtQ9MtKko)
โครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องทำงานรวมกันหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธุรกิจ ฝั่งไอที ฝั่ง Infrastructure หรือกระทั่งพันธมิตรจากภายนอก ดังนั้น หนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ในฐานะทีมเดียวกันที่มีเป้าหมายหนึ่งเดียวร่วมกัน ต้องมีการวางแผนการเปลี่ยนแปลง การซักซ้อม และการทดสอบร่วมกันกันนับครั้งไม่ถ้วน
“สิ่งสำคัญของการทำโครงการใหญ่ระดับนี้คือการเตรียมรับปัญหาที่อาจเกิด” คุณแก้วกานต์ ปิ่นจินดา เสริม โดย 2 เรื่องที่ KBTG ต้องเตรียมพร้อมคือการจัดการปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น (Incident & Problem Management) และการจัดการความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น (Change Management)
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1153-c3d08e70bc879957890525448ae361eb.jpg?hash=LJH9ZqlTOc)
คุณแก้วกานต์ ปิ่นจินดา Deputy Managing Director – IT Service Availability ของ KBTG เล่าถึงในส่วนของ Incident & Problem Management จะเริ่มต้นจากการเปลี่ยนเหตุการณ์ (Incident) เป็นแผนการบริหารปัญหา (Problem Management) ที่มีความเป็นระบบ ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาระหว่างการปรับขยายระบบ และเน้นแนวทางการจัดการปัญหาเชิงรุก เมื่อเกิดเหตุขัดข้องจะแก้ไขอย่างรวดเร็ว ลด Downtime และผลกระทบต่อระบบโดยรวม
สำหรับ Change Management ซึ่งหมายถึงการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในองค์กร จะมีการกำหนด Project Plan and Freeze Schedule เพื่อให้ทีมสามารถประสานงานและแจ้งช่วงเวลาที่ต้อง Freeze หรือหยุดการเปลี่ยนแปลงกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนงานนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน โดยปรับปรุงตาราง Freeze อย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนกว่าจะจบโครงการ
ขณะเดียวกันก็ปรับใช้ ITSM Tool Modification เพื่อส่งแจ้งเตือนกรณีมีการเปิด Change Request (CR) ในระบบที่อยู่ในขอบเขต Freeze ซึ่งช่วยให้ทีม Change ติดต่อผู้เปิดคำขอได้ทันที เพื่อเลื่อนหรือจัดตารางไม่ให้ชนกับช่วง Freeze
กระบวนการทั้งหมดนี้มุ่งให้สามารถรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ (Prepare for the Worst) และเดินหน้าทำงานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (Work for the Best) โดยการบริหารปัญหาอย่างเป็นระบบและการบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างมีวินัยจะช่วยลดความเสี่ยงของ Downtime สร้างความต่อเนื่องของบริการ
บริหารโครงการด้วยกลยุทธ์ 3Cs
คุณภูวดล ทรงวุฒิชโลธร Assistant Managing Director - Project Management ของ KBTG แชร์ประสบการณ์การบริหารโครงการให้ฟังว่า ทาง KBTG ใช้กลยุทธ์ 3Cs คือ Communication, Collaboration และ Commitment ในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เวลากว่า 22 เดือน กับทีมงานเกิน 1,000 ชีวิต ซึ่งในท้ายที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการผลักดันโครงการให้ออกมาได้ โดยไม่มีช่วงเวลาที่ระบบหยุดทำงานและไม่มีการรายงานเหตุจากลูกค้าเลย
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1154-548dbd12d5f8e44b34f7009190e94540.jpg?hash=czf70DnwVE)
“ในส่วนของ Communication” คุณภูวดลลงรายละเอียด โครงการต้องประสานงานคนมากกว่า 1,000 คน จัดประชุมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์กว่า 2,000 ครั้ง และเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซจาก 183 แอปพลิเคชัน รวมแล้วมีกว่า 2,000 จุดที่ได้รับผลกระทบ ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้โดยไม่สะดุดก็ต้องมีการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันและมีความเชื่อมั่นในแผนงานร่วมกัน
ในด้าน Collaboration โปรเจกต์นี้ขยายขอบเขตไปร่วมงานกับแผนกกว่า 50 แผนก ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารที่ไร้รอยต่อเพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดงานออกมาเป็นรูปธรรมจริง ๆ
นอกจากนี้ อีกเรื่องที่สำคัญของการทำโปรเจกต์นี้คือการสร้าง Commitment หรือการมีความมุ่งมั่นร่วมกัน เพราะงานนี้ ต้องเข้าไปแก้ไขจุดบกพร่องกว่า 1,000 จุด ให้เรียบร้อยทันเวลา กินเวลากว่า 10,000 man-nights และใช้เวลามากกว่า 10 เดือนในการทดสอบระบบ ซึ่งมี test cases มากกว่า 30,000 test กรณีตัวอย่าง เพื่อสร้างระบบที่มีความน่าเชื่อถือขึ้นมา
หัวใจสำคัญ คือความเชื่อมั่นยกกำลัง 2
คุณเรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman ของ KBTG สรุปปิดท้ายว่าถ้าเป็นเรื่องของ AI หัวใจสำคัญจริง ๆ เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เพราะหลาย ๆ งานเราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเครื่องไม่ใช่คน จึงต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่าระบบที่ใช้มีความน่าเชื่อถือจริง ๆ
![No Description No Description](https://www.bbimg.me/data/attachments/1/1155-c9f8b568f258b3960f6d3e906b5356ef.jpg?hash=omrv3j0crX)
และยิ่งธนาคารทำเรื่อง AI ความเชื่อมั่นยิ่งต้องมีมากยกกำลังสอง คุณเรืองโรจน์ย้ำ เพราะเราต้องดูแลเรื่องสำคัญให้กับลูกค้าค่อนประเทศ สอดคล้องกับทิศทางของ KBTG 3.0 ที่จะพัฒนา AI ภายใต้แนวทาง Human-First x AI-First คือใช้ปัญญาประดิษฐ์โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ส่วนการทำ Double Core Banking อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่จะช่วยให้ KBank รองรับธุรกรรมได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น โดยมาพร้อมความมั่นคงของระบบและความน่าเชื่อถือ
Topics:
KBTG
Banking
AI
KBank
Continue reading...